โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านคีรีล้อม(ศกร.)

ประวัติชุมชน

 ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ราษฎรประมาณ ๑๐ คนได้เข้ามาที่ทำกินในบ้านคีรีล้อม โดยประกอบอาชีพทำไร่ข้าว ปลูกพริก และข้าวโพด และต่อมาก็เพิ่มจำนวนขึ้นจนในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ มีเด็กที่เข้าสู่วัยเรียนจำนวนหนึ่งซึ่งจะต้องไปเรียนหนังสือแต่โรงเรียนประถมที่อยู่ใกล้ที่สุดคือโรงเรียนบ้านในล็อค ระยะทางประมาณ ๑๑ กิโลเมตร เส้นทางทุรกันดารในช่วงฤดูฝนการเดินทางลำบากมาก ผู้นำชุมชนได้มีการร้องขอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้น

               ลักษณะชุมชนในเขตพื้นที่บริการของศูนย์การเรียนเป็นชุมชนขนาดเล็ก ได้แก่ หมู่ที่ ๑ และ หมู่ที่ ๘ ตำบลช้างแรก อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  มีประชากรประมาณ ๑๔๐ ครัวเรือน  ๕๗๔ คน คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมปลูกยางพารา และ ปาล์มน้ำมัน รายได้เฉลี่ย ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อครัวเรือน/ปี    สภาพเศรษฐกิจปานกลาง  ชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายตามสภาพการเป็นอยู่ของชุมชน ชุมชนมีความเข้มแข็งโดยเป็นหมู่บ้านป้องกันชายแดน ทำงานเป็นกลุ่ม ผู้ปกครองและชุมชนมีความต้องการให้เด็กได้มีความสุขสูงสุดเพื่อได้กลับมาพัฒนาในชุมชนของตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีตลอด

            อาณาเขตติดต่อ

               บ้านคีรีล้อม ตั้งอยู่ที่  หมู่ ๑ ตำบลตำบลช้างแรก อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์          มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๕,๐๐๐ ไร่    ลักษณะเป็นพื้นที่ราบสลับภูเขา อยู่ติดชายแดนไทย  – เมียนมาร์ โดยมีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นแนวเขตกั้นลักษณะของพื้นที่ เป็นพื้นที่ราบเชิงเขา   ความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง 

      ทิศเหนือ                ติดต่อกับ       หมู่บ้านเขาแก้ว  ต.ทองมงคล อ.บางสะพาน

      ทิศใต้                    ติดต่อกับ       บ้านบางเจริญ ต.ไชยราช

      ทิศตะวันออก         ติดต่อกับ        หมู่ ๘ บ้านช่องลม

      ทิศตะวันตก           ติดต่อกับ        ประเทศพม่า

           การคมนาคม

               จากศาลากลางจังหวัดประจวบฯถึงศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านคีรีล้อม ระยะทางประมาณ ๑๐๕ กม. ลาดยาง ๙๑ กม. ลูกรัง ๗ กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑.๓๐ ชั่วโมง

               จากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๑๔ ถึงศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านคีรีล้อม ระยะทางประมาณ ๘๔.๘ กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑.๒๐ ชั่วโมง

      จากถนนเพชรเกษมทางเข้าบ้านโป่งโกถึงหมู่บ้านคีรีล้อมเป็นระยะทาง ประมาณ ๑๔ กิโลเมตร เป็นถนนคอนกรีต  ๗ กิโลเมตร ( ขนาดความกว้างของถนน ๔ เมตร ) ถนนลูกรังและลาดชัน ๗  กิโลเมตร ( ขนาดความกว้างของถนน ๓ เมตร ) ใช้รถยนต์ขับเคลื่อน ๔ ล้อ และรถยนต์ขับเคลื่อน ๒ ล้อ

         จำนวนประชากร

              จำนวนประชากรจำนวน  ๑๔๐ ครัวเรือน ประชากร ๕๗๔ คน  ชาย ๒๘๕ คน หญิง ๒๘๙ คน

         ศาสนา/ภาษาที่ใช้

               ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ  ใช้ภาษาใต้และภาษาไทยกลาง

         การประกอบอาชีพ / รายได้เฉลี่ย

       ประชากรชาวไทย                     อาชีพหลัก        ทำสวน  ๘๐ %

                                                     อาชีพรอง         รับจ้าง   ๒๐ %

      ประชากรเชื้อสายพม่า                อาชีพหลัก        รับจ้าง  ๙๐  %

                                                     อาชีพรอง         ทำสวน  ๑๐ %

      พืชไร่ที่ราษฎรนิยมปลูกส่วนใหญ่ คือยางพารา , ปาล์มน้ำมัน ,พริก , ทุเรียน , กล้วย , มะละกอ, กาแฟ, มังคุดรายได้โดยเฉลี่ย  ราษฎรไทย ครอบครัวละประมาณ ๕๐,๐๐๐ บาท / ปี 

       การบริการของรัฐ

                  -มีประปาภูเขา

                  -มีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

                  -การติดต่อสื่อสารไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ สามารถติต่อสื่อสารได้ทางวิทยุสื่อสาร

      ผู้นำหมู่บ้าน

                    นางพัณนิดา     เกตุแก้ว            กำนันตำบลช้างแรก

นายประสิทธิ์    ยังแก้ว             ผู้ใหญ่บ้านคีรีล้อม

หมู่ที่ ๑ ตำบลช้างแรก อำเภอบางสะพานน้อย  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

พิกัด ละติจูด 12.161016 ลองติจูด 99.303844

       ระบบการศึกษา

      ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านคีรีล้อม จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เปิดทำการเรียนการสอน ๒  ภาคเรียน คือ

ภาคเรียนที่ ๑ เปิดเรียนวันที่   ๑๖  พฤษภาคม    ถึงวันที่ ๑๐ ตุลาคม

ภาคเรียนที่ ๒ เปิดเรียนวันที่     ๑  พฤศจิกายน   ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม

สนับสนุนนโยบายของหน่วยงานบังคับบัญชาต้นสังกัดและร่วมมือกับหน่วยงานอื่นในการพัฒนา ท้องถิ่น

พัฒนางานโครงการตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ และผลสำเร็จของโครงการ

ร่วมมือกับประชาชนในหมู่บ้าน หมู่บ้านใกล้เคียง ในการพัฒนาท้องถิ่น และโรงเรียน

        ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านคีรีล้อม

         หมู่ที่ ๑ ตำบลช้างแรก อำเภอบางสะพานน้อย  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พิกัด ละติจูด 12.161016 ลองติจูด 99.303844

              เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๗ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี   ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน  ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนการบินไทย อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนสำรวจพื้นที่จุดบอดที่ยังไม่มีการจัดการศึกษา และให้จัดการศึกษาให้กับประชาชน  กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๑๔ ได้รับสั่งการจาก กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จึงได้ดำเนินการสำรวจ พบว่าหมู่บ้านคีรีล้อม ซึ่งประชาชนต้องการให้มีการจัดตั้งโรงเรียน  กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๑๔  จึงได้ขออนุมัติ จัดตั้งศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน        บ้านคีรีล้อม ซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อวันที่  ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗  และได้เปิดสอนอย่างเป็นทางการ เมื่อ วันที่ ๑๖  พฤษภาคม  ๒๕๕๗ โดยจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นปฐมวัยถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ นักเรียนรวมทั้งสิ้น ๗๘ คน   ชาย ๔๑ คน หญิง ๓๗ คน ครูตำรวจตระเวนชายแดน ๙ คน

               ปีการศึกษา ๒๕๕๘ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯพระราชทานเงิน ๓๐๔,๐๐๐ บาท จัดสร้างบ้านพักครู และ บริษัทไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน)  ได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน ๔,๙๐๐,๐๐๐ บาท จัดสร้างอาคารเรียนมาตรฐาน ๒ ชั้น  และห้องสุขา ๑๐ ห้อง จำนวน ๑ หลัง

               ปีการศึกษา ๒๕๖๐ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ พระราชทานเงิน จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จัดสร้างอาคารเด็กก่อนวัยเรียน จำนวน ๑ หลัง

                ปัจจุบันโรงเรียนเปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล  ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖  มีนักเรียนรวมทั้งสิ้น  ๖๑  คน ครู ตชด. ทำการสอนจำนวน  ๗  นาย ครูอัตราจ้างตามโครงการ รร.คู่พัฒนา จำนวน ๑ คน และผู้ดูแลเด็กเล็ก ๒ คน   มี ร.ต.อ.  ไชยา  จันทะดี  ทำหน้าที่ ครูใหญ่   โทร ๐๘ ๕๔๔๙ ๔๘๙๙

                 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านคีรีล้อม จำนวน  ๑  ครั้ง เมื่อวันที่   ๒๘  มิถุนายน ๒๕๕๙ (เป็นครั้งที่ ๘๔๐ ของประเทศ)

           การดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ

             วัตถุประสงค์สำคัญเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สมเด็จพระเทพ-รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้ดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริขึ้นในโรงเรียนตามแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ฉบับที่ 5 (ปี 2560 - 2569) โดยมีผลการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ ดังนี้

          เป้าหมายหลักที่ 1  เสริมสร้างสุขภาพของเด็กตั้งแต่ในครรภ์มารดา

      เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างสมดุลในด้าน   พุทธิศึกษา จริยศึกษา หัตถศึกษา และพละศึกษา ด้วยกระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ มีความรักหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ภาคภูมิใจในความเป็นไทย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติได้

         เป้าหมายหลักที่ 2   เพิ่มโอกาสทางการศึกษา

          เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสศึกษาต่อมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถของครูและโรงเรียนให้จัดการศึกษาในรูปแบบที่เหมาะสม สำหรับเด็กและเยาวชนที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย สติปัญญาและอารมณ์

        เป้าหมายหลักที่ 3  เสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนทางวิชาการและทางจริยธรรม

      เพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ทั้งวิชา ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และสังคมศึกษา รวมทั้งทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ควบคู่กับการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม 

       เป้าหมายหลักที่ 4 เสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนทางการอาชีพ

     เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้อาชีพการเกษตรอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำผลผลิตไปใช้ประโยชน์ และการจัดทำบัญชี งานอาชีพที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย  ตลอดจนมีลักษณะนิสัยและคุณธรรมจริยธรรมตามหลักและอุดมการณ์สหกรณ์

       เป้าหมายหลักที่ 5  ปลูกจิตสำนึกและพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

      เพื่อให้เด็กและเยาวชน ได้เรียนรู้ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เห็นความงดงาม เกิดเป็นความปิติที่ จะศึกษา เป็นความรัก ความผูกพัน หวงแหนในทรัพยากรของตน ร่วมในกระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

       เป้าหมายหลักที่ 6   เสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนในการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของท้องถิ่นและของชาติไทย

       เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความรู้และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่นและวัฒนธรรมไทย โดยทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง

       เป้าหมายหลักที่ 7   ขยายการพัฒนาจากโรงเรียนสู่ชุมชน

     เพื่อขยายการพัฒนาจากโรงเรียนสู่ชุมชน ทำให้ชุมชนมีความเข็มแข็ง และพึ่งตนเองได้ ครอบครัว และชุมชนเกิดการพัฒนา ช่วยเหลือสนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชนและโรงเรียนไปพร้อมๆกัน

       เป้าหมายหลักที่ 8   พัฒนาสถานศึกษาเป็นศูนย์บริการความรู้

     เพื่อให้สถานศึกษาเป็นศูนย์บริการความรู้ให้แก่ผู้ปกครองและชุมชน สามารถในการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการพัฒนาให้แก่สถานศึกษาอื่นๆ เพื่อนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละที่ สร้างความร่วมมือ



ปัญหาชุมชน


Swot


อาชีพหลักของชุมชน


รางวัลและความสำเร็จ